เคล็ดลับ 11 วิธีวิ่งให้เร็วขึ้นอย่างไร โดยไม่ทำร้ายร่างกาย
ดีแคทลอนรวบรวม 11 วิธีวิ่งให้เร็วขึ้น โดยไม่ทำร้ายร่างกายมาไว้ให้แล้ว มาดู และนำไปทำตามกันเลย
11 เคล็ดลับวิ่งเร็วขึ้นอย่างปลอดภัย มือใหม่ทำตามได้จริง ครบทั้งท่าวิ่ง เทคนิคหายใจ ฝึกซ้อม พักผ่อน และวิธีการเลือกอุปกรณ์วิ่ง
ปัจจุบัน “การวิ่งหรือการไป Run Club” เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ได้ความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่เพียงแต่เป็นกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่แข็งแรงเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสได้สร้างสังคม มิตรภาพใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม หลายคนยังพบปัญหาเหนื่อยง่าย วิ่งเร็วไม่ได้ หรือบาดเจ็บระหว่างฝึกซ้อม วันนี้ดีแคทลอนขอชวนทุกคนมารู้จัก “11 วิธีวิ่งให้เร็วขึ้นโดยไม่ทำร้ายร่างกาย” ที่จะช่วยให้คุณวิ่งสนุกขึ้น ปลอดภัย และพัฒนาตัวเองได้ในระยะยาว
ดีแคทลอนรวบรวม 11 วิธีวิ่งให้เร็วขึ้น โดยไม่ทำร้ายร่างกายมาไว้ให้แล้ว มาดู และนำไปทำตามกันเลย
หลายคนอาจไม่ทันสังเกตว่า “ท่าวิ่ง” มีผลโดยตรงต่อทั้งความเร็ว และการป้องกันการบาดเจ็บ โดยท่าวิ่งที่ถูกต้องจะช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานน้อยลง แต่เคลื่อนตัวได้เร็วขึ้น สามารถทำได้ง่าย ๆ ดังต่อไปนี้
การฝึกการหายใจอย่างมีจังหวะสำหรับนักวิ่ง เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ร่างกายรับออกซิเจนได้เต็มที่มากขึ้น และเป็นวิธีวิ่งเร็วไม่เหนื่อยง่าย ช่วยลดความเหนื่อยล้าระหว่างวิ่ง โดยสามารถใช้เทคนิค 3:2 หรือการหายใจแบบมีจังหวะ คือ การหายใจเข้า และออก โดยนับจำนวน “ก้าว” ที่เท้าสัมผัสพื้น เช่น 3:2 หมายความว่า หายใจเข้า 3 ก้าว หายใจออก 2 ก้าว ซึ่งการนับนี้ จะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนเพียงพอ และกล้ามเนื้อกะบังลมไม่ทำงานหนักข้างเดียวตลอดเวลา
มาถึงวิธีวิ่งเร็วขึ้นวิธีที่ 3 คือการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพราะการวิ่งไม่ได้อาศัยเพียงแค่ “ปอด” หรือ “หัวใจ” เท่านั้น หากกล้ามเนื้อไม่สมดุลหรืออ่อนแรง อาจทำให้วิ่งได้ไม่เร็วเท่าที่ควร และเสี่ยงบาดเจ็บได้ โดยการเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้อขา (Quadriceps, Hamstring, น่อง), กล้ามเนื้อแกนกลาง (Core) และกล้ามเนื้อสะโพกและก้น (Glutes & Hip Flexors) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่งได้
ซึ่งทุกคนสามารถเพิ่มความแข็งแรงด้วยท่าออกกำลังกาย เช่น Squats, Lunges, Step-ups, Plank, Side Plank, Hip Thrust เพราะการออกกำลังกายที่ฝึกฝืนกล้ามเนื้อหรือการยกน้ำหนัก จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการวิ่ง โดยจะช่วยเพิ่มแรง ลดความเข้มข้นของการหดตัวของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้การวิ่งง่ายขึ้น และยังส่งผลให้ใช้ปริมาณออกซิเจนลดลงในการวิ่งแต่ละครั้ง
วิธีวิ่งให้เร็วแบบก้าวกระโดด ต้องลองฝึกวิ่งแบบ Interval Training หรือการฝึก วิ่งสลับเร็ว–ช้า ซึ่งเป็นเทคนิคที่สามารถพัฒนาร่างกายได้รอบด้าน ไม่ใช่แค่เรื่องความเร็ว แต่ยังช่วยเพิ่ม “ความอึด” ให้วิ่งได้นานขึ้นด้วย หากสรุปการฝึกวิ่งแบบ Interval Training ให้เข้าใจง่าย ๆ คือ
หลายคนโฟกัสแต่การฝึกวิ่ง แต่ลืมไปว่า “ร่างกายจะแข็งแรงขึ้น นอกจากฝึกฝนแล้ว ต้องพักให้เพียงพอ” เพราะการพักผ่อนให้เพียงพอ และการกินที่ถูกต้อง จะช่วยเสริมความแข็งแรงของร่างกาย และทำให้การวิ่งมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยสามารถทำตามวิธีต่อไปนี้ได้ง่าย ๆ
การลงทุนในอุปกรณ์วิ่งคุณภาพ เช่น รองเท้าวิ่งที่เหมาะกับรูปเท้า เสื้อผ้าระบายอากาศดี และอุปกรณ์เสริมที่ออกแบบมาเพื่อกิจกรรมวิ่งโดยเฉพาะ จะช่วยให้ทุกก้าวปลอดภัย ลดแรงกระแทก และโอกาสบาดเจ็บ เพิ่มความคล่องตัว และความมั่นใจขณะวิ่ง อีกทั้งยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการฝึกซ้อม ให้คุณวิ่งสนุก มีแรงจูงใจต่อเนื่องในระยะยาว
วันนี้ดีแคทลอนขอแนะนำอุปกรณ์การวิ่งหลัก ๆ ที่ควรค่าแก่การลงทุน ไม่ว่าจะเป็น
หลายคนมักมองข้ามการวอร์มอัพ (Warm-up) และคูลดาวน์ (Cool-down) แต่จริง ๆ แล้วถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยป้องกันการบาดเจ็บและทำให้การวิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนออกวิ่งและผ่อนคลายหลังวิ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและลดความตึงเครียดได้ โดยสามารถทำได้ดังนี้
การวิ่งขึ้นเนินหรือทางชัน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา ความอึด และยังทำให้วิ่งบนพื้นราบได้เร็วขึ้น เพราะการฝึกแบบนี้ใช้แรงมากกว่าการวิ่งธรรมดา โดยคุณสามารถเริ่มได้ง่าย ๆ ดังนี้
Tempo Run หรือการวิ่งที่ความเร็ว "เกือบเหนื่อย" แต่ยังควบคุมการหายใจได้ เป็นเทคนิคที่ช่วยพัฒนาความอึดและความเร็วไปพร้อมกัน เพราะเป็นการฝึกให้ร่างกายปรับตัวกับการวิ่งที่ใช้พลังงานมากขึ้น โดยหลักการคือ
Cadence คือ จำนวนก้าวต่อนาที ซึ่งมีผลโดยตรงต่อความเร็วและแรงกระแทกที่ข้อเท้า หากก้าวยาวเกินไป อาจทำให้เหนื่อยง่ายและบาดเจ็บได้ นักวิ่งมืออาชีพมักรักษา Cadence ให้อยู่ที่ประมาณ 170–180 ก้าวต่อนาที โดยสามารถฝึกได้ดังนี้
การวัดและติดตามผลเป็นอีกกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณพัฒนาความเร็วได้ต่อเนื่อง เพราะทำให้คุณเห็นพัฒนาการของตัวเอง และสามารถปรับแผนการฝึกได้อย่างเหมาะสม โดยอุปกรณ์ที่นิยม เช่น Garmin, Coros, Apple Watch หรือแอป Strava ที่ช่วยได้ดังนี้
โดยสรุปแล้ววิธีวิ่งเร็วไม่เหนื่อยง่ายและไม่บาดเจ็บ จะต้องอาศัยการฝึกวิ่งท่าที่ถูกต้อง เทคนิคการหายใจที่เหมาะสม กล้ามเนื้อแข็งแรง การฝึกซ้อมแบบมีแผน การพักผ่อนที่เพียงพอ และการเลือกอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ เพื่อส่งเสริมให้การวิ่งมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
หากคุณกำลังมองหาเสื้อวิ่ง รองเท้าวิ่งหรืออุปกรณ์การวิ่งอื่น ๆ ที่คุณภาพดี ราคาคุ้มค่า และมีให้เลือกครบทุกแบบทุกรุ่น ไม่ว่าคุณจะเป็นสายวิ่งมาราธอน วิ่งเทรลหรือนักวิ่งมือใหม่ สามารถเลือกช็อปสินค้าได้ที่ Decathlon ทุกสาขา หรือเลือกช้อปสะดวกผ่านเว็บไซต์ Decathlon เราจัดส่งฟรีให้ถึงบ้าน เมื่อช้อปครบ 1,500 บาท และหากสมัครสมาชิก Decathlon Membership สามารถเปลี่ยนสินค้าได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้ใบเสร็จ พร้อมรับประกันสินค้า 2 ปี และสามารถสะสมแต้มเพื่อรับส่วนสด ของรางวัลสุดพิเศษ และสิทธิประโยชน์ระดับพรีเมียมจากดีแคทลอนได้
ยังไม่หมดเท่านั้น! หากคุณกำลังมองหาของขวัญไม่ว่าจะในโอกาสพิเศษใดๆ มอบของขวัญที่ใช่ด้วย Decathlon Gift Card ให้คนที่คุณรักได้เลือกสรรอุปกรณ์กีฬาในแบบที่ชอบ มูลค่าเริ่มต้น 100 บาทจนถึง 15,000 บาท อายุการใช้งาน 2 ปี ใช้งานสะดวกทั้งบนเว็บไซต์และที่ร้าน Decathlon ทุกแห่งในไทย มาช็อปกับดีแคทลอนเลย!
Q: วิ่ง 1 กิโล ควรใช้เวลาเท่าไร?
A: เวลาที่ใช้ในการวิ่ง “1 กิโลเมตร” สำหรับคนทั่วไปหรือมือใหม่ ควรใช้เวลาประมาณ 6-8 นาที ต่อ 1 กิโลเมตร
Q: การวอร์มอัพ และการยืดเส้นก่อนวิ่ง สำคัญไหม?
A: การวอร์มอัพ 10 - 15 นาทีก่อนวิ่งจะช่วยเตรียมกล้ามเนื้อ และข้อต่อให้พร้อมสำหรับการวิ่ง ควรทำ dynamic stretching ก่อนวิ่ง และ static stretching หลังวิ่ง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
Q: ควรฝึกวิ่งบ่อยแค่ไหน เพื่อให้วิ่งเร็วขึ้น
A: วิธีวิ่งให้เร็วขึ้น ควรฝึกวิ่ง 3 - 4 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยสลับระหว่างการวิ่งช้า ๆ ระยะไกลกับการฝึกความเร็วแบบ interval training เพื่อให้ร่างกายมีเวลาพักฟื้น และพัฒนาประสิทธิภาพอย่างสมดุล
Q: อุปกรณ์เสริมอะไรช่วยให้วิ่งเร็วขึ้น?
A: นอกจากรองเท้าคุณภาพดีแล้ว การสวมเสื้อผ้าวิ่งที่น้ำหนักเบา ระบายอากาศดี รวมถึงมีเป้น้ำหรือขวดน้ำซิลิโคนแบบพกพาก็จะช่วยให้คุณซ้อมวิ่งได้อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถเลือกซื้ออุปกรณ์วิ่งต่าง ๆ ได้ที่ดีแคทลอน ครบ จบในที่เดียว
Q: มือใหม่เริ่มวิ่งเร็วขึ้น ควรเลือกรองเท้ายังไง?
A: ควรเลือกรองเท้าวิ่งที่มีน้ำหนักเบา ซัพพอร์ตข้อเท้า ระบายอากาศดี มีพื้นรองเท้ารับแรงกระแทก เพื่อความคล่องตัวในทุก ๆ ก้าว