11 วิธีวิ่งให้เร็วขึ้น ไม่เหนื่อยง่าย ไม่บาดเจ็บ มือใหม่ทำตามได้ไม่ยาก

11 วิธีวิ่งให้เร็วขึ้น ไม่เหนื่อยง่าย ไม่บาดเจ็บ มือใหม่ทำตามได้

11 เคล็ดลับวิ่งเร็วขึ้นอย่างปลอดภัย มือใหม่ทำตามได้จริง ครบทั้งท่าวิ่ง เทคนิคหายใจ ฝึกซ้อม พักผ่อน และวิธีการเลือกอุปกรณ์วิ่ง

ปัจจุบัน “การวิ่งหรือการไป Run Club” เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ได้ความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพราะไม่เพียงแต่เป็นกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างสุขภาพที่แข็งแรงเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสได้สร้างสังคม มิตรภาพใหม่ ๆ อย่างไรก็ตาม หลายคนยังพบปัญหาเหนื่อยง่าย วิ่งเร็วไม่ได้ หรือบาดเจ็บระหว่างฝึกซ้อม วันนี้ดีแคทลอนขอชวนทุกคนมารู้จัก “11 วิธีวิ่งให้เร็วขึ้นโดยไม่ทำร้ายร่างกาย” ที่จะช่วยให้คุณวิ่งสนุกขึ้น ปลอดภัย และพัฒนาตัวเองได้ในระยะยาว

เคล็ดลับ 11 วิธีวิ่งให้เร็วขึ้นอย่างไร โดยไม่ทำร้ายร่างกาย

ดีแคทลอนรวบรวม 11 วิธีวิ่งให้เร็วขึ้น โดยไม่ทำร้ายร่างกายมาไว้ให้แล้ว มาดู และนำไปทำตามกันเลย 

วิธีวิ่งเร็ว ด้วยการปรับท่าวิ่งให้ถูกต้อง

วิธีที่ 1: ปรับท่าวิ่งให้ถูกต้อง

หลายคนอาจไม่ทันสังเกตว่า “ท่าวิ่ง” มีผลโดยตรงต่อทั้งความเร็ว และการป้องกันการบาดเจ็บ โดยท่าวิ่งที่ถูกต้องจะช่วยให้ร่างกายใช้พลังงานน้อยลง แต่เคลื่อนตัวได้เร็วขึ้น สามารถทำได้ง่าย ๆ ดังต่อไปนี้

  • ลำตัวตรงแต่ผ่อนคลาย – ไม่เกร็ง ไม่เอนไปข้างหน้าหรือเอนไปหลังเกินไป
  • สายตามองไปข้างหน้า – มองตรงไปข้างหน้าประมาณ 30 - 40 เมตร เพื่อช่วยให้ไม่ให้รู้สึกเกร็งที่ช่วงคอ
  • แขนแกว่งตามธรรมชาติ – กำมือหลวม ๆ งอศอกเล็กน้อย แกว่งใกล้ลำตัว เพื่อสร้างแรงส่ง
  • ก้าวเท้าที่เป็นธรรมชาติ – งอเข่าเล็กน้อย ไม่กระแทกส้นแรงเกินไป เพื่อถนอมข้อเข่า และข้อเท้า

วิธีที่ 2: ฝึกการหายใจอย่างมีจังหวะ

การฝึกการหายใจอย่างมีจังหวะสำหรับนักวิ่ง เป็นเทคนิคที่ช่วยให้ร่างกายรับออกซิเจนได้เต็มที่มากขึ้น และเป็นวิธีวิ่งเร็วไม่เหนื่อยง่าย ช่วยลดความเหนื่อยล้าระหว่างวิ่ง โดยสามารถใช้เทคนิค 3:2 หรือการหายใจแบบมีจังหวะ คือ การหายใจเข้า และออก โดยนับจำนวน “ก้าว” ที่เท้าสัมผัสพื้น เช่น 3:2 หมายความว่า หายใจเข้า 3 ก้าว หายใจออก 2 ก้าว ซึ่งการนับนี้ จะช่วยให้ร่างกายได้รับออกซิเจนเพียงพอ และกล้ามเนื้อกะบังลมไม่ทำงานหนักข้างเดียวตลอดเวลา

วิธีที่ 3: เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ

มาถึงวิธีวิ่งเร็วขึ้นวิธีที่ 3 คือการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพราะการวิ่งไม่ได้อาศัยเพียงแค่ “ปอด” หรือ “หัวใจ” เท่านั้น หากกล้ามเนื้อไม่สมดุลหรืออ่อนแรง อาจทำให้วิ่งได้ไม่เร็วเท่าที่ควร และเสี่ยงบาดเจ็บได้ โดยการเสริมความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อ เช่น กล้ามเนื้อขา (Quadriceps, Hamstring, น่อง), กล้ามเนื้อแกนกลาง (Core) และกล้ามเนื้อสะโพกและก้น (Glutes & Hip Flexors) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการวิ่งได้

ซึ่งทุกคนสามารถเพิ่มความแข็งแรงด้วยท่าออกกำลังกาย เช่น Squats, Lunges, Step-ups, Plank, Side Plank, Hip Thrust เพราะการออกกำลังกายที่ฝึกฝืนกล้ามเนื้อหรือการยกน้ำหนัก จะช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการวิ่ง โดยจะช่วยเพิ่มแรง ลดความเข้มข้นของการหดตัวของกล้ามเนื้อ ส่งผลให้การวิ่งง่ายขึ้น และยังส่งผลให้ใช้ปริมาณออกซิเจนลดลงในการวิ่งแต่ละครั้ง

วิธีวิ่งเร็ว ด้วยการฝึกวิ่งแบบ Interval Training

วิธีที่ 4: ฝึกวิ่งแบบ Interval Training

วิธีวิ่งให้เร็วแบบก้าวกระโดด ต้องลองฝึกวิ่งแบบ Interval Training หรือการฝึก วิ่งสลับเร็ว–ช้า ซึ่งเป็นเทคนิคที่สามารถพัฒนาร่างกายได้รอบด้าน ไม่ใช่แค่เรื่องความเร็ว แต่ยังช่วยเพิ่ม “ความอึด” ให้วิ่งได้นานขึ้นด้วย หากสรุปการฝึกวิ่งแบบ Interval Training ให้เข้าใจง่าย ๆ คือ

  • เพิ่มความเร็ว: กล้ามเนื้อ และระบบประสาทเคยชินกับสปีดสูง จึงสามารถขยับเร็วขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติในวันแข่ง
  • เพิ่มความอึด: ระบบไหลเวียนเลือด และออกซิเจนแข็งแรงขึ้น สามารถทนต่อความเหนื่อยได้ยาวนาน
  • เมื่อฝึก 2 อย่างพร้อมกัน - ต่างจากการวิ่งช้าอย่างเดียวที่พัฒนาแค่ความอึด หรือการสปรินต์อย่างเดียวที่พัฒนาแค่ความเร็ว
ซึ่งสามารถเริ่มต้นง่าย ๆ ด้วยการลองวิ่งเร็ว 30 วิ สลับเดินหรือวิ่งเหยาะ ๆ 1 นาที 

วิธีที่ 5: พักผ่อนและโภชนาการที่เหมาะสม

หลายคนโฟกัสแต่การฝึกวิ่ง แต่ลืมไปว่า “ร่างกายจะแข็งแรงขึ้น นอกจากฝึกฝนแล้ว ต้องพักให้เพียงพอ” เพราะการพักผ่อนให้เพียงพอ และการกินที่ถูกต้อง จะช่วยเสริมความแข็งแรงของร่างกาย และทำให้การวิ่งมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยสามารถทำตามวิธีต่อไปนี้ได้ง่าย ๆ

  • นอนหลับให้เพียงพอประมาณ 7 - 9 ชั่วโมง เพื่อให้ร่างกายฟื้นฟูได้อย่างเต็มที่
  • มีวันพัก สัปดาห์ละ 1 - 2 วัน เพื่อให้กล้ามเนื้อ และข้อต่อฟื้นตัว โดยในวันพัก สามารถออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดินช้า เล่นโยคะ
  • กินโปรตีน และคาร์โบไฮเดรตให้ถึง เช่น ข้าวกล้อง ไข่ เนื้อปลา เนื้อไก่ รวมถึงกินไขมันดี เช่น ถั่ว อะโวคาโด เพื่อเติมพลังและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ 
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ

วิธีวิ่งเร็ว ด้วยการลงทุนในอุปกรณ์วิ่งคุณภาพ

วิธีที่ 6: ลงทุนในอุปกรณ์วิ่งคุณภาพ

การลงทุนในอุปกรณ์วิ่งคุณภาพ เช่น รองเท้าวิ่งที่เหมาะกับรูปเท้า เสื้อผ้าระบายอากาศดี และอุปกรณ์เสริมที่ออกแบบมาเพื่อกิจกรรมวิ่งโดยเฉพาะ จะช่วยให้ทุกก้าวปลอดภัย ลดแรงกระแทก และโอกาสบาดเจ็บ เพิ่มความคล่องตัว และความมั่นใจขณะวิ่ง อีกทั้งยังช่วยเสริมประสิทธิภาพการฝึกซ้อม ให้คุณวิ่งสนุก มีแรงจูงใจต่อเนื่องในระยะยาว

วันนี้ดีแคทลอนขอแนะนำอุปกรณ์การวิ่งหลัก ๆ ที่ควรค่าแก่การลงทุน ไม่ว่าจะเป็น

  • รองเท้าวิ่ง: ที่ดีแคทลอนมีรองเท้าวิ่งหลากหลายรุ่น และดีไซน์ให้เลือกซื้อ ไม่ว่าจะรองเท้าวิ่งมาราธอน รองเท้าวิ่งจ๊อกกิ้ง หรือรองเท้าตัวดังอย่างรองเท้าวิ่งเสริมแผ่นคาร์บอนที่ออกแบบมาให้ซับแรงกระแทกในทุกระยะการวิ่ง มั่นใจในทุกก้าว
  • เสื้อผ้าวิ่ง: เสื้อผ้าวิ่ง ทั้งเสื้อแขนสั้น แขนยาว กางเกงสำหรับการวิ่งที่มีคุณภาพ ระบายอากาศดี ราคาเข้าถึงง่าย มีให้เลือกมากมายทั้งของคุณผู้ชาย และคุณผู้หญิง
  • อุปกรณ์เสริมในการวิ่ง: อุปกรณ์เสริมในการวิ่ง เช่น กระเป๋าคาดเอว หมวกวิ่ง หูฟัง เพื่อช่วยให้การวิ่งของคุณสะดวกสบาย คล่องตัวยิ่งขึ้น 

วิธีที่ 7: วอร์มอัพและคูลดาวน์ทุกครั้ง

หลายคนมักมองข้ามการวอร์มอัพ (Warm-up) และคูลดาวน์ (Cool-down) แต่จริง ๆ แล้วถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญที่ช่วยป้องกันการบาดเจ็บและทำให้การวิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น การเตรียมร่างกายให้พร้อมก่อนออกวิ่งและผ่อนคลายหลังวิ่งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและลดความตึงเครียดได้ โดยสามารถทำได้ดังนี้

  • วอร์มอัพ: ทำ Dynamic Stretching เช่น High Knees, Butt Kicks, Leg Swings ประมาณ 10–15 นาที เพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือด
  • คูลดาวน์: วิ่งเหยาะ ๆ หรือเดินช้า ๆ 5–10 นาที ตามด้วย Static Stretching เช่น การยืดเอ็นร้อยหวาย กล้ามเนื้อน่อง และสะโพก เพื่อช่วยให้กล้ามเนื้อฟื้นตัวเร็วขึ้น

วิธีที่ 8: ฝึกวิ่งทางชัน (Hill Training)

การวิ่งขึ้นเนินหรือทางชัน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา ความอึด และยังทำให้วิ่งบนพื้นราบได้เร็วขึ้น เพราะการฝึกแบบนี้ใช้แรงมากกว่าการวิ่งธรรมดา โดยคุณสามารถเริ่มได้ง่าย ๆ ดังนี้

  • เลือกเนินหรือลู่วิ่งไฟฟ้าที่ปรับความชันได้ ประมาณ 3–5%
  • วิ่งขึ้นเนินด้วยความเร็ว 20–30 วินาที แล้วเดินหรือวิ่งช้า ๆ ลงมาเพื่อพัก
  • ทำซ้ำ 5–8 รอบต่อการฝึก 1 ครั้ง
การฝึก Hill Training ยังช่วยให้การเคลื่อนไหวข้อเท้าและสะโพกแข็งแรงและลดความเสี่ยงการบาดเจ็บจากการวิ่งระยะยาว

วิธีที่ 9: ฝึก Tempo Run

Tempo Run หรือการวิ่งที่ความเร็ว "เกือบเหนื่อย" แต่ยังควบคุมการหายใจได้ เป็นเทคนิคที่ช่วยพัฒนาความอึดและความเร็วไปพร้อมกัน เพราะเป็นการฝึกให้ร่างกายปรับตัวกับการวิ่งที่ใช้พลังงานมากขึ้น โดยหลักการคือ

  • เริ่มวอร์มอัพด้วยการวิ่งเหยาะ ๆ 10 นาที
  • วิ่งต่อด้วยความเร็วที่รู้สึก “เร็วแต่ยังพูดได้เป็นประโยคสั้น ๆ” ประมาณ 15–20 นาที
  • คูลดาวน์ด้วยการวิ่งเบา ๆ อีก 10 นาที
    การทำ Tempo Run อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง จะช่วยเพิ่มสมรรถภาพของร่างกายให้ทนต่อการวิ่งเร็ว ๆ ได้นานขึ้น

วิธีที่ 10: ควบคุมการก้าวเท้า (Cadence)

Cadence คือ จำนวนก้าวต่อนาที ซึ่งมีผลโดยตรงต่อความเร็วและแรงกระแทกที่ข้อเท้า หากก้าวยาวเกินไป อาจทำให้เหนื่อยง่ายและบาดเจ็บได้ นักวิ่งมืออาชีพมักรักษา Cadence ให้อยู่ที่ประมาณ 170–180 ก้าวต่อนาที โดยสามารถฝึกได้ดังนี้

  • ใช้แอปหรือ Smartwatch ตรวจวัด Cadence ระหว่างวิ่ง
  • ตั้งเป้าเพิ่มจำนวนก้าวเล็กน้อยทีละนิด เช่น จาก 160 → 165 → 170 ก้าวต่อนาที
  • ก้าวสั้นลง แต่เพิ่มความถี่ จะช่วยให้วิ่งได้เร็วขึ้นโดยไม่สิ้นเปลืองแรงเกินไป

วิธีที่ 11: ติดตามผลการวิ่งด้วยอุปกรณ์ Smartwatch หรือแอป

การวัดและติดตามผลเป็นอีกกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้คุณพัฒนาความเร็วได้ต่อเนื่อง เพราะทำให้คุณเห็นพัฒนาการของตัวเอง และสามารถปรับแผนการฝึกได้อย่างเหมาะสม โดยอุปกรณ์ที่นิยม เช่น Garmin, Coros, Apple Watch หรือแอป Strava ที่ช่วยได้ดังนี้

  • บันทึกเวลา ระยะทาง ความเร็วเฉลี่ย และ Cadence
  • กำหนดแผนการฝึกซ้อมเฉพาะบุคคล (Personalized Training Plan)
  • เปรียบเทียบผลการวิ่งย้อนหลัง เพื่อดูพัฒนาการอย่างเป็นรูปธรรม
  • สร้างแรงจูงใจจากการแชร์ผลวิ่งกับเพื่อนหรือใน Community

โดยสรุปแล้ววิธีวิ่งเร็วไม่เหนื่อยง่ายและไม่บาดเจ็บ จะต้องอาศัยการฝึกวิ่งท่าที่ถูกต้อง เทคนิคการหายใจที่เหมาะสม กล้ามเนื้อแข็งแรง การฝึกซ้อมแบบมีแผน การพักผ่อนที่เพียงพอ และการเลือกอุปกรณ์ที่มีคุณภาพ เพื่อส่งเสริมให้การวิ่งมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

หากคุณกำลังมองหาเสื้อวิ่ง รองเท้าวิ่งหรืออุปกรณ์การวิ่งอื่น ๆ ที่คุณภาพดี ราคาคุ้มค่า และมีให้เลือกครบทุกแบบทุกรุ่น ไม่ว่าคุณจะเป็นสายวิ่งมาราธอน วิ่งเทรลหรือนักวิ่งมือใหม่ สามารถเลือกช็อปสินค้าได้ที่ Decathlon ทุกสาขา หรือเลือกช้อปสะดวกผ่านเว็บไซต์ Decathlon เราจัดส่งฟรีให้ถึงบ้าน เมื่อช้อปครบ 1,500 บาท และหากสมัครสมาชิก Decathlon Membership สามารถเปลี่ยนสินค้าได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้ใบเสร็จ พร้อมรับประกันสินค้า 2 ปี และสามารถสะสมแต้มเพื่อรับส่วนสด ของรางวัลสุดพิเศษ และสิทธิประโยชน์ระดับพรีเมียมจากดีแคทลอนได้

ยังไม่หมดเท่านั้น! หากคุณกำลังมองหาของขวัญไม่ว่าจะในโอกาสพิเศษใดๆ มอบของขวัญที่ใช่ด้วย Decathlon Gift Card ให้คนที่คุณรักได้เลือกสรรอุปกรณ์กีฬาในแบบที่ชอบ มูลค่าเริ่มต้น 100 บาทจนถึง 15,000 บาท อายุการใช้งาน 2 ปี ใช้งานสะดวกทั้งบนเว็บไซต์และที่ร้าน Decathlon ทุกแห่งในไทย มาช็อปกับดีแคทลอนเลย!

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

Q: วิ่ง 1 กิโล ควรใช้เวลาเท่าไร?
A: เวลาที่ใช้ในการวิ่ง “1 กิโลเมตร” สำหรับคนทั่วไปหรือมือใหม่ ควรใช้เวลาประมาณ 6-8 นาที ต่อ 1 กิโลเมตร

Q: การวอร์มอัพ และการยืดเส้นก่อนวิ่ง สำคัญไหม?
A: การวอร์มอัพ 10 - 15 นาทีก่อนวิ่งจะช่วยเตรียมกล้ามเนื้อ และข้อต่อให้พร้อมสำหรับการวิ่ง ควรทำ dynamic stretching ก่อนวิ่ง และ static stretching หลังวิ่ง เพื่อป้องกันการบาดเจ็บ
 
Q: ควรฝึกวิ่งบ่อยแค่ไหน เพื่อให้วิ่งเร็วขึ้น
A: วิธีวิ่งให้เร็วขึ้น ควรฝึกวิ่ง 3 - 4 ครั้งต่อสัปดาห์ โดยสลับระหว่างการวิ่งช้า ๆ ระยะไกลกับการฝึกความเร็วแบบ interval training เพื่อให้ร่างกายมีเวลาพักฟื้น และพัฒนาประสิทธิภาพอย่างสมดุล

Q: อุปกรณ์เสริมอะไรช่วยให้วิ่งเร็วขึ้น?
A: นอกจากรองเท้าคุณภาพดีแล้ว การสวมเสื้อผ้าวิ่งที่น้ำหนักเบา ระบายอากาศดี รวมถึงมีเป้น้ำหรือขวดน้ำซิลิโคนแบบพกพาก็จะช่วยให้คุณซ้อมวิ่งได้อย่างต่อเนื่อง โดยสามารถเลือกซื้ออุปกรณ์วิ่งต่าง ๆ ได้ที่ดีแคทลอน ครบ จบในที่เดียว

Q: มือใหม่เริ่มวิ่งเร็วขึ้น ควรเลือกรองเท้ายังไง?
A: ควรเลือกรองเท้าวิ่งที่มีน้ำหนักเบา ซัพพอร์ตข้อเท้า ระบายอากาศดี มีพื้นรองเท้ารับแรงกระแทก เพื่อความคล่องตัวในทุก ๆ ก้าว