เรียนรู้ความแตกต่างระหว่าง Snorkeling หรือการดำน้ำตื่น กับ Scuba Diving หรือการดำน้ำลึก รวมถึงเทคนิคพื้นฐาน ข้อควรระวัง เพื่อค้นหาการดำน้ำแบบไหนที่เหมาะกับคุณมากที่สุด
หากคุณกำลังวางแผนไปเที่ยวทะเล แต่ลังเลว่า จะเลือกสนุกกับกิจกรรมแบบไหนดีระหว่าง Snorkeling (ดำน้ำตื้น) หรือ Scuba Diving (ดำน้ำลึก) วันนี้ดีแคทลอนจะพาคุณไปทำความรู้จักกับทั้งสองกิจกรรมยอดฮิตนี้ พร้อมบอกข้อดี ข้อควรระวัง และเทคนิคเบื้องต้น เพื่อให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่า กิจกรรมไหนเหมาะกับสไตล์ของคุณมากที่สุด
การดำน้ำสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักที่ได้รับความนิยม ได้แก่ การดำน้ำตื้น (Snorkeling), การดำน้ำลึก (Scuba Diving) และการดำน้ำแบบกลั้นหายใจ (Freediving) หรือการดำลงไปใต้น้ำแบบไม่ใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจ โดยแต่ละแบบมีลักษณะเฉพาะ และความเหมาะสมกับผู้เล่นที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับทักษะ ประสบการณ์ และจุดประสงค์ของการดำน้ำ
การดำน้ำตื้น (Snorkeling) คือ การลอยตัวอยู่บนผิวน้ำหรือใกล้ผิวน้ำ พร้อมสวมหน้ากาก (Mask) และใช้ท่อหายใจ (Snorkel) เพื่อให้มองเห็นได้ชัดเจน และสามารถหายใจขณะใบหน้าอยู่ในน้ำ โดยไม่จำเป็นต้องยกศีรษะขึ้นมาหายใจบ่อย ๆ นอกจากหน้ากาก และท่อหายใจ ยังมีเสื้อชูชีพ และตีนกบ เป็นอุปกรณ์สำคัญ
ควรเลือกหน้ากากดำน้ำที่มีขนาดพอดี แนบสนิทกับใบหน้า เพื่อป้องกันน้ำรั่วเข้าไปในหน้ากาก
ก่อนเริ่ม Snorkeling ควรฝึกสวมหน้ากาก และท่อหายใจ โดยทดลองหายใจผ่านท่อหายใจ (Snorkel) ด้วยปากเท่านั้น ไม่ควรหายใจทางจมูก เพื่อป้องกันน้ำเข้า
ปลายท่อควรอยู่เหนือผิวน้ำตลอดเวลา
หากน้ำเข้าไปในหน้ากากขณะ Snorkeling สามารถไล่น้ำออก โดยการเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยให้ขอบล่างของหน้ากากอยู่ต่ำสุด แล้วหายใจออกทางจมูกเบา ๆ
การล้างน้ำออกจากท่อหายใจ ให้เป่าลมหายใจออกจากปากแรง ๆ ขณะปลายท่ออยู่เหนือผิวน้ำ
ทักษะสำคัญที่จะช่วยประหยัดแรง และสามารถอยู่ในน้ำได้นานขึ้น คือ ทักษะการลอยตัว ควรผ่อนคลายร่างกาย หายใจช้า ๆ และใช้เสื้อชูชีพหรือตีนกบ โดยขณะว่ายน้ำควรใช้ขาเตะเบา ๆ แบบกรรเชียง เพื่อเคลื่อนที่ไปข้างหน้า
การดำน้ำลึก (Scuba Diving) คือ การดำน้ำที่ใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจใต้น้ำ โดยนักดำน้ำสามารถหายใจใต้น้ำได้อย่างอิสระ และอยู่ใต้น้ำได้นานกว่าการดำน้ำแบบกลั้นหายใจ (FreeDiving) หรือดำน้ำตื้น โดยอุปกรณ์หลัก ๆ ที่ใช้ ได้แก่
ควรตรวจสอบอุปกรณ์ทุกชิ้นก่อนใช้งาน เช่น ตรวจสอบแรงดันอากาศในถังให้เพียงพอสำหรับระยะเวลาที่จะดำน้ำ Scuba Diving ตรวจสอบการทำงานของเรกูเลเตอร์ และอุปกรณ์ควบคุมการลอยตัว (BCD) ให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ หลังใช้งาน ควรล้างอุปกรณ์ และดูแลรักษาให้ดี
ควรหายใจเข้า-ออกอย่างช้า ๆ และสม่ำเสมอ ไม่ควรกลั้นหายใจ เพราะอาจเกิดอันตรายจากแรงกดดันที่เปลี่ยนแปลง
การหายใจเข้าออกช้า ๆ ยังช่วยควบคุมการลอยตัว (Buoyancy) ได้ดีขึ้น
ควบคุมระดับความลึกด้วยการปรับอากาศใน BCD ทีละน้อย และรอสักครู่เพื่อให้ร่างกายตอบสนอง
นักดำน้ำต้องเข้าใจการใช้สัญญาณมือมาตรฐานในการสื่อสาร เพื่อความปลอดภัย เช่น
การดำน้ำไม่ว่าจะเป็นการ Snorkeling หรือ Scuba Diving ล้วนมีความเสี่ยงที่ควรระมัดระวัง ควรปฏิบัติตามข้อควรระวังต่อไปนี้ เพื่อความปลอดภัย
ก่อนออกเดินทางหรือเริ่มดำน้ำทุกครั้ง ควรตรวจสอบสภาพอากาศ และคลื่นลม หากพบว่ามีลมแรง คลื่นสูง หรือฝนตกหนัก ควรเลื่อนหรือยกเลิกการดำน้ำ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายได้ เช่น กระแสน้ำเชี่ยว คลื่นซัด หรือทัศนวิสัยใต้น้ำต่ำ
แต่ละจุดดำน้ำจะมีกฏระเบียบ และข้อห้ามที่แตกต่างกัน เช่น ห้ามจับหรือเหยียบปะการัง ห้ามให้อาหารสัตว์น้ำ หรือจำกัดพื้นที่ดำน้ำ ควรศึกษาข้อมูล และปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยของนักดำน้ำเอง
การขึ้นหรือลงจากความลึกอย่างรวดเร็วอาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บจากแรงกดดัน เช่น โรคน้ำหนีบ (Decompression Sickness) หรืออาการบาดเจ็บที่ปอด และหู ควรควบคุมความเร็วในการขึ้น - ลง และปฏิบัติตามขั้นตอนความปลอดภัย เช่น การหยุดพักที่ระดับความลึกที่กำหนด (Safety Stop)
การดำน้ำคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นระดับน้ำตื้น (Snorkeling) หรือดำน้ำลึก (Scuba Diving) ล้วนมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุหรือเหตุฉุกเฉินใต้น้ำ ควรมี "บัดดี้" หรือเพื่อนร่วมดำน้ำเสมอ เพื่อช่วยเหลือ และดูแลกันในกรณีที่เกิดปัญหา
หลังจากที่ได้รู้จักว่าการดำน้ำตื้น-ดำน้ำลึก และเรียนรู้เทคนิคการดำน้ำแล้ว ไม่ว่าคุณจะวางแผนไปดำน้ำตื้น (Snorkeling) ดำน้ำลึก (Scuba Diving) หรือเตรียมตัวไปเที่ยวทะเล ดีแคทลอน พร้อมช่วยให้คุณสนุกกับกิจกรรมทางน้ำได้อย่างมั่นใจ เพราะเรามีอุปกรณ์กีฬาดำน้ำ และว่ายน้ำให้คุณเลือกซื้ออย่างครบครัน ทั้งชุดดำน้ำ หน้ากากดำน้ำ ตีนกบ และอุปกรณ์เสริมอื่น ๆ ครบ จบ ในที่เดียว